วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อาชญากรรมและอาชญากรคอมพิวเตอร์


อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเคื่องมือ เช่น การโจนกรรมข้อมูลหรือความลับของบริษัท การบิดเบือนข้อมูล การฉ้อโกง การฟองเงิน

อาชญากรคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฏหมายโดยใช้เทคโนโลคอมพิวเตอร์เป้นเครื่องมือสำคัญ
1 แฮกเกอร์ คือ บุลที่ใช้ความสามารถในทางที่ไม่ถูกต้อง
2 เเครกเกอร์ คือ แฮกเกอร์ที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์
3 แฮกตีวิสต์หรือไซเบอร์เทอร์อริสต์
อาชญากร คอมพิวเตอร์จะจัดออกเป็น 9 ประเภท
1 การขโมยข้อมุลทางอินเตอร์เน็ต
2 การที่อาชญานำเอาระบบการสื่อสาร
3 การละเมิดสิทธิการปลอดเเปลงรูปเเบบ
4 การใช้คอมพิวเตอร์เเพร่ภาพ
5 การใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน

6 การที่มีอันธพาลทางคอมพิวเตอร์
7 การหลอกลวงให้ร่วมค้าขาย
8 การเเทรกเเชงข้อมูล
9 การใช้คอมพิวเตอร์

การใช้คอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเคื่องมือในการก่ออาชยากรรม
1 การขโมยหมายเลขเครดิต
1 การขโมยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
2 การชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต
3 การแอบอ้าง
4 การกราดตรวจทางคอมพิวเตอร์
5 การส่งข้อความ
6 การให้เข้าใปใช้บริการเว็บไซต์ได้ฟรี
คอมพิวเตอร์ในฐานะของเป้าหมายอาชญากรรม มี 3 ประเด็นคือ
1 การเข้าถึงเเละการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต
2 การก่อกวนหรือทำลายข้อมุล
3 การขโมยข้อมูลเเละอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
วิธีการใช้ในการกระทำความผิดทางอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1 ดาตาดิดลิง คือ การเปลี่ยนเเปลงข้อมูลได้ไม่ได้รับอนุญาติ
2 โทรจันฮอร์ส การเขียนโปรมเเกรมข้อมูลที่แฝงใว้ในโปรเเกรม
3 ชาลามิเทคนิค วิธีการปัดจำนวนเงิน เช่น ทศนิยมตัวที่ 3
4 ซูเปอร์เเซพปิง มาจากคำว่า Superzapping เป้นโรแกรมที่ใช้ในศูนย์
5 แทรปดอร์ เป็นการเขียนโปรเเกรมที่เลียนเเบบคล้านหน้าจอ
6 ลอจิกบอมบ์ เป็นการเขียนโปรเเกรมคำสั่งอย่างมีเงียบไข
7 อัสซินครอนีสแอตแทก เนื่องจากการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
8 สกาเวนจิง คือ วิธีการที่จะได้ข้อมูลที่ทิ้งไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
9 ดาตาลีเกจ หมายถึง การทำให้ข้อมูลรั้วไหลออกไป
10 พิกกีเเบกกิง วิธีการดังกล่าวสามารถทำได้ทั้งกายภาพ
11 อิมเพอร์ซันเนชัน คือ การที่คนร้ายเเกล้งปลอมบุคลอื่น
12 ไวร์แทปพิง เป็นการลักลอบดักฟังสัญญาณการสื่อสาร
13 ซิมูเลชันเเอมโมเดลลิง ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป้นเครื่องมือในการวางเเผนการควบคุมเเละติดตามการเคลื่อนไหว
วิธีการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลเเละคอมพิวเตอร์ มี 4 วิธี
1 ใช้ชื่อผู้ใช้ เเละรหัสผ่าน บางระบบกำหนดชื่อผู้ใช้เเละรหัสผ่านมาเพื่อให้สะดวก
2 ใช้วัตถุเพื่อการเข้าสู้ระบบ เช่น บัตรเเม่เหล็ก หรือกุญเเจ
3 ใช้อุปกรณ์ทางชีวภาพเป็นการใช้อุประกรณ์ที่ตรวจสอบลักษณะส่วนบุคคล
4 ระบบเรียกกลับ เป้นระบบที่ผู้ใช้ระบุชื่อเเละรหัสผ่านเพื่อขอเข้าใช้ระบบปลายทาง




กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทค





ปัจจุบันพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งมีกาารนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิประโชน์มากมายทั้วโลกหากนำไปใช้ในทางมิชอบความเสียหายอย่างรุนแรงส่งผลกระทบแรงเกิดรูปแบบใหม่ของอาชยากรรมในด้านการกระทำความผิดหลายด้านเช่นการขัดจังหวะ ลักลอมเข้าถึงข้อมูล

และแก้ไขข้อมูล รวมถึงกาารสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นไม่ว่าทางใดก็ตาม

สาเหตุที่ต้องมีอาการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น เพราะด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์อุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติตลอดจนเครื่องมื่อสือสารเพื่อประกอบกิจการงานและการทำธุรกรรมต่างๆ




1. กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) : เพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวจากการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ
2. กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ Computer Relate Crime) : เพื่อคุ้มครองสังคมจากความผิดที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารอันถือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง (Intangible Object)
3. กฎหมายพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Commerce) : เพื่อคุ้มครองการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เนต
4. กฎหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI ) : เพื่อที่จะเอื้อให้มีการทำนิติกรรมสัญญาทางอิเล็คทรอนิกส์ได้
5. กฎหมายลายมือชื่ออิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Signature Law) : เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คู่กรณีในอันที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อการลงลายมือชื่อ
6. กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Funds Tranfer) : เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างหลักประกันที่มั่นคง
7. กฎหมายโทรคมนาคม (Telecommunication Law) : เพื่อวางกลไกในการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีประมิทธิภาพ ทั้งสร้างหลักประกันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้อย่างทั่วถึง (Universal Service)
8. กฎหมายระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
9. กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับอินเทอร์เนต
10. กฎหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันได้มีกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศออกมาประกาศใช้แล้ว 1 ฉบับคือ พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 ซึ่งได้รวมเอากฎหมายพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าไว้ด้วยกัน โดยกฎหมายดังกล่าวและมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์อย่างมากทั้งต่อตัวผู้กระทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพราะกฎหมายดังกล่าวได้ระบุเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าไว้ด้วย (เดิมปรับใช้จากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง)
ประเด็นสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศก็คือ การพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งรัฐมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้เข้าใจในเบื้องต้น และศึกษาถึงธรรมเนียมประเพณีและสังคมการพาณิชย์ของไทย รวมทั้งปัญหาต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย
สภาพปัญหาในปัจจุบันคือ กฎหมายไทยไม่เพียงพอที่จะให้ความคุ้มครองทางอิเล็คทรอนิกส์ ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนไม่มั่นใจในการทำการค้าทางอิเล็คทรอนิกส์ เพราะเหตุความไม่มีประสิทธิภาพของระบบและโครงสร้าง ความไม่มั่นใจจากการถูกรบกวนและแทรกแซงจากบุคคลภายนอกผู้ไม่หวังดี รวมถึงความหวาดกลัวต่อการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งมีมากในประเทศของเรา
ประกอบกับผู้ใช้งานยังมีความกังขาในข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่เกิดจากการพานิชย์อิเล็คทรอนิกส์ว่าจะมีผลผูกพันเพียงใด ทั้งจะมีการยอมรับการสืบพยานในศาลได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อระบบการทำธุรกรรมในประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคต




วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความหมายของจริยธรรม


จริยธรรม หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ประชาชนตกลงร่วมกันเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิติร่วมกันในสังคม
โดยทั่วไปเมื่อพิจารณาถึงจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม

หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้
1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการเผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล
2) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยำของการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
4) ประเด็นของความเข้าถึงได้ (Accessibility) คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้และการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ




ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไปหมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่างๆปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อหน้าสังเกตดังนี้


1.การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร

2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นการติดตามการทำงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการใช้บริการ แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม

3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด


4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ จึงควรจะต้องระวังการให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตที่มีการใช้โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่อีเมล์ความถูกต้อง
ทางทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปี
สิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility) ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่างๆ กับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกันให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น




ผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศ


     
เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลทั้งในด้านบวกและด้านลบต่อผู้ใช้งานโดยตรงและบุคคลรอบข้าง ดังนี้
ผลกระทบด้านคุณภาพชีวิต
1. ส่งเสริมการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น สามารถเลือกศึกษาเรื่องใด สถานที่ใด หรือเวลาใดก็ได้
เกิดการเรียนการสอนทางไกล การเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
2. สร้างความเสมอภาคในสังคม เผยแพร่ข่าวสารไปในทุกแห่งแม้ในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ
3. ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม สามารถตรวจสอบและวางแผนรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่าง ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. เพิ่มระบบป้องกันประเทศ โดยมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงของประเทศชาติ ทำให้เกิดระบบป้องกันภัยและระบบเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และยังมีระบบการใช้คอมพิวเตอร์ในอาวุทยุทโธปกรณ์อีกด้วย
5. เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตทางการค้า จากการผลิตในระบบอุตสาหกรรมที่นำ เครื่องคอมพิวเตอร์มาควบคุม ทำให้เกิดผลผลิตหรือสินค้าที่มีคุณภาพโดยใช้เวลาการผลิตที่สั้นลง
6. ส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดการสร้างภาพยนตร์แอนนิเมชัน มัลติมีเดีย
และสิ่งประดิษฐ์ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย
7. ช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ส่งผลให้การรักษา มีประสิทธิภาพ และลดปัญหาความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ผลกระทบด้านสังคม
1. การละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และการละเมิดลิขสิทธิ์ส่วนบุคคล
โดยการนำข้อมูลของผู้อื่นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
2. การเข้าถึงและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ
ระบบเครือข่าย ซึ่งผู้ไม่หวังดีอาจปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลและเครื่อง
คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นได้
3. การหลอกลวงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เนื่องจากใครก็สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไหนและ
เมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงไม่น่าเชื่อถือเท่ากับแหล่งการเรียนรู้อื่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็น
ช่องทางในการหลอกลวงผู้ใช้คนอื่น ๆ
4. การทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เสื่อมถอย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะ เครื่องคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะมีการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย แต่ผู้ใช้ก็ไม่ได้พบเห็นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
โดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมักขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเข้ากับผู้อื่นได้ยาก
5. การเผยแพร่วัฒนธรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากข้อมูลสารสนเทศไม่สามารถระบุเพศหรือวัยของ
ผู้ใช้ได้ ข้อมูลจึงมีความหลากหลาย ดังนั้นผู้รับข้อมูลอาจได้รับข้อมูลที่ไม่เหมาะสมต่อเพศและวัยของตนเอง
ส่งผลให้เกิดความเชื่อที่ผิด และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้

ผลกระทบด้านการเรียนการสอน
เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้กับการศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน ระบบการสื่อสารทางไกลหรือโทรศึกษา การเรียนการสอนผ่านเว็บเพจ และสื่อการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อผู้เรียนทางด้านบวกและด้านลบดังนี้
1. ผลกระทบทางด้านบวก
- ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา
- ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในหัวข้อหรือเนื้อหาที่สนใจได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับ
- สื่อมีความน่าสนใจ ส่งผลให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
- สื่อมีรูปแบบการนำเสนอแบบโต้ตอบกับผู้เรียน เช่น การทำแบบฝึกหัดแล้วสามารถเฉลยข้อสอบ ให้กับผู้เรียนได้ทันที
- สื่อสามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำเสนอได้
- ผู้เรียนสามารถติดต่อ สอบถาม และแสดงความคิดเห็นกับผู้สอนและผู้เรียนคนอื่น ๆ ได้ด้วย การสนทนาออนไลน์ กระดานแลกเปลี่ยน หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
2. ผลกระทบทางด้านลบ
- ผู้เรียนและผู้สอนจะต้องมีความพร้อมด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน
- ผู้เรียนและผู้สอนจะต้องมีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี
- เครื่องมือและอุปกรณ์จะต้องมีความทันสมัยเพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายได้ และควรเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
- ผู้เรียนและผู้สอนขาดปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง


ความเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


     
เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลทั้งในด้านบวกและด้านลบต่อผู้ใช้งานโดยตรงและบุคคลรอบข้าง ดังนี้
ผลกระทบด้านคุณภาพชีวิต
1. ส่งเสริมการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น สามารถเลือกศึกษาเรื่องใด สถานที่ใด หรือเวลาใดก็ได้
เกิดการเรียนการสอนทางไกล การเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
2. สร้างความเสมอภาคในสังคม เผยแพร่ข่าวสารไปในทุกแห่งแม้ในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ
3. ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม สามารถตรวจสอบและวางแผนรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่าง ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. เพิ่มระบบป้องกันประเทศ โดยมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงของประเทศชาติ ทำให้เกิดระบบป้องกันภัยและระบบเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และยังมีระบบการใช้คอมพิวเตอร์ในอาวุทยุทโธปกรณ์อีกด้วย
5. เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตทางการค้า จากการผลิตในระบบอุตสาหกรรมที่นำ เครื่องคอมพิวเตอร์มาควบคุม ทำให้เกิดผลผลิตหรือสินค้าที่มีคุณภาพโดยใช้เวลาการผลิตที่สั้นลง
6. ส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดการสร้างภาพยนตร์แอนนิเมชัน มัลติมีเดีย
และสิ่งประดิษฐ์ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย
7. ช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ส่งผลให้การรักษา มีประสิทธิภาพ และลดปัญหาความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ผลกระทบด้านสังคม
1. การละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และการละเมิดลิขสิทธิ์ส่วนบุคคล
โดยการนำข้อมูลของผู้อื่นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
2. การเข้าถึงและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ
ระบบเครือข่าย ซึ่งผู้ไม่หวังดีอาจปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลและเครื่อง
คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นได้
3. การหลอกลวงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เนื่องจากใครก็สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไหนและ
เมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงไม่น่าเชื่อถือเท่ากับแหล่งการเรียนรู้อื่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็น
ช่องทางในการหลอกลวงผู้ใช้คนอื่น ๆ
4. การทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เสื่อมถอย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะ เครื่องคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะมีการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย แต่ผู้ใช้ก็ไม่ได้พบเห็นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
โดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมักขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเข้ากับผู้อื่นได้ยาก
5. การเผยแพร่วัฒนธรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากข้อมูลสารสนเทศไม่สามารถระบุเพศหรือวัยของ
ผู้ใช้ได้ ข้อมูลจึงมีความหลากหลาย ดังนั้นผู้รับข้อมูลอาจได้รับข้อมูลที่ไม่เหมาะสมต่อเพศและวัยของตนเอง
ส่งผลให้เกิดความเชื่อที่ผิด และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้

ผลกระทบด้านการเรียนการสอน
เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้กับการศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน ระบบการสื่อสารทางไกลหรือโทรศึกษา การเรียนการสอนผ่านเว็บเพจ และสื่อการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อผู้เรียนทางด้านบวกและด้านลบดังนี้
1. ผลกระทบทางด้านบวก
- ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา
- ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในหัวข้อหรือเนื้อหาที่สนใจได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับ
- สื่อมีความน่าสนใจ ส่งผลให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
- สื่อมีรูปแบบการนำเสนอแบบโต้ตอบกับผู้เรียน เช่น การทำแบบฝึกหัดแล้วสามารถเฉลยข้อสอบ ให้กับผู้เรียนได้ทันที
- สื่อสามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำเสนอได้
- ผู้เรียนสามารถติดต่อ สอบถาม และแสดงความคิดเห็นกับผู้สอนและผู้เรียนคนอื่น ๆ ได้ด้วย การสนทนาออนไลน์ กระดานแลกเปลี่ยน หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
2. ผลกระทบทางด้านลบ
- ผู้เรียนและผู้สอนจะต้องมีความพร้อมด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน
- ผู้เรียนและผู้สอนจะต้องมีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี
- เครื่องมือและอุปกรณ์จะต้องมีความทันสมัยเพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายได้ และควรเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
- ผู้เรียนและผู้สอนขาดปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง



การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ


   
การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถในการใช้งาน เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันก็มีราคาถูกลง มีการประยุกต์ใช้งานอย่างกว้างขวาง จนกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในอดีต สหรัฐฯ เป็นประเทศเกษตรกรรม มีผลผลิตทางด้านการเกษตรเป็นสินค้าหลัก ต่อมา เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตเป็นประเทศอุตสาหกรรม ปริมาณสัดส่วนของสินค้า ด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปัจจุบันโครงสร้างการผลิตของสหรัฐฯ เน้นไปที่ธุรกิจการให้บริการ และการใช้สารสนเทศกันมาก ทำให้สัดส่วนการผลิตสินค้า เกษตรลดลงไม่ถึง
5% ของสินค้าทั้งหมด ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมก็มีมูลค่าน้อยกว่า อุตสาหกรรมบริการ ซึ่งใช้ข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก หากมองภาพการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารทั่วไปของโลก ปัจจุบันมูลค่า ของสินค้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งประเทศที่พัฒนา แล้ว 10ประเทศมีสัดส่วนการใช้คอมพิวเตอร์มากถึงกว่า 90% ของปริมาณการใช้ คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ประเทศที่พัฒนาแล้ว 10 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก และแอฟริกาใต้ ถ้าพิจารณาบริษัทผู้ผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศพบว่า ประเทศผู้ผลิต เพื่อส่งออกขายมีเพียงไม่กี่ประเทศ ประเทศเหล่านี้ส่วนมากมีเทคโนโลยีของตนเองมี การค้นคิด วิจัยและพัฒนาสินค้าให้ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา จากความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ มี ขนาดเล็กลง แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้น และมีราคาถูกลงจนผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อมา ใช้ได้ จนแทบกล่าวได้ว่าบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามามีส่วนในทุกบ้าน เพราะเครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารอยู่ด้วยเสมอ 44
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารได้สร้างประโยชน์ อย่างใหญ่หลวงต่อวงการทางธุรกิจ ทำให้ทุกธุรกิจมีการลงทุน ขยายขอบเขตการให้บริการ โดยใช้ระบบสารสนเทศกันมากขึ้น กลไกเหล่านี้ทำให้โอกาสการขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ กว้างขวางเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้สังคมโลกเป็นสังคม แบบไร้พรมแดน การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ตมีอัตราการขยายตัว สูงมาก จนกล่าวได้ว่าเป็นอัตราการขยายตัวแบบทวีคูณ จนเชื่อแน่ว่าภายในระยะเวลาอีก ไม่นาน ผู้คนบนโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้หมด


ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์

   

ประเภทของระบบสารสนเทศ

ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร กับระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น และเนื่องจากการบริหารงานในองค์กรมีหลายระดับ กิจกรรมขององค์กรแต่ละประเภทอาจจะแตกต่างกัน ดังนั้นระบบสารสนเทศของแต่ละองค์กรอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไปถ้าพิจารณาจำแนกระบบสารสนเทศตามการสนับสนุนระดับการทำงานในองค์กร จะแบ่งระบบสารสนเทศได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. ระบบสารสนเทศสำหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน ช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทำรายการต่างๆขององค์กร เช่นใบเสร็จรับเงิน รายการขาย การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการดำเนินงานประจำแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น
2. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ ระบบนี้สนับสนุนผู้ทำงานที่มีความรู้เกี่ยวข้องกับข้อมูล วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยให้มีการนำความรู้ใหม่มาใช้ และช่วยควบคุมการไหลเวียนของงานเอกสารขององค์กร
3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตรวจสอบ การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารงานของผู้บริหารระดับกลางขององค์กร
4. ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยการบริหารระดับสูง ช่วยในการสนับสนุนการวางแผนระยะยาว หลักการของระบบคือต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกกับความสามารถภายในที่องค์กรมี เช่นในอีก 5 ปีข้างหน้า องค์กรจะผลิตสินค้าใด
สุชาดา กีระนันทน์ได้แบ่งประเภทของระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน/ผู้บริหารระดับต่างๆไว้ ดังนี้


1. ระบบประมวลผลรายการ เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ ทำการบันทึกจัดเก็บ ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ ทั้งนี้เพื่อที่จะทำการสรุปข้อมูลเพื่อสร้างเป็นสารสนเทศ ระบบประมวลผลรายการนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้า ตัวอย่าง เช่น ระบบการจองบัตรโดยสารเครื่องบิน ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ เป็นต้น ในระบบต้องสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็น ระบบนี้มักจัดทำเพื่อสนองความต้องการของผู้บริหารระดับต้นเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานประจำได้ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักจะอยู่ในรูปของ รายงานที่มีรายละเอียด รายงานผลเบื้องต้น

2. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่สนับสนุนงานในสำนักงาน หรืองานธุรการของหน่วยงาน ระบบจะประสานการทำงานของบุคลากรรวมทั้งกับบุคคลภายนอก หรือหน่วยงานอื่น ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเอกสาร โดยการใช้ซอฟท์แวร์ด้านการพิมพ์ การติดต่อผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของเอกสาร กำหนดการ สิ่งพิมพ์

3. ระบบงานสร้างความรู้ เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการใหม่ ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น

4. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง ใช้ในการวางแผน การบริหารจัดการ และการควบคุม ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการบริหารงาน ตัวอย่าง เช่น ระบบบริหารงานบุคลากร ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของรายงานสรุป รายงานของสิ่งผิดปกติ

5. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหาคำตอบที่แน่นอนเพียงบางส่วน ข้อมูลที่ใช้ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภายนอกกิจการประกอบกัน ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น หลักการของระบบ สร้างขึ้นจากแนวคิดของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการตัดสินใจ โดยให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการพิจารณาได้ โดยอาศัยประสบการณ์ และ ความสามารถของผู้บริหารเอง ผู้บริหารอาจกำหนดเงื่อนไขและทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ไปจนกระทั่งพบสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้เป็นสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ รูปแบบของผลลัพธ์ อาจจะอยู่ในรูปของ รายงานเฉพาะกิจ รายงานการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ การทำนาย หรือ พยากรณ์เหตุการณ์

6. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงนี้จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลภายนอกกิจกรรมเป็นอย่างมาก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุค Globalization ข้อมูลระดับโลก แนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันของธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของการพยากรณ์/การคาดการณ์

ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะมีหลายประเภท แต่องค์ประกอบที่จำเป็นของระบบสารสนเทศทุกประเภท ก็คือต้องประกอบด้วยกิจกรรม 3 อย่างตามที่ได้กล่าวไว้ คือ ระบบต้องมีการนำเข้าข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และการแสดงผลลัพธ์ของข้อมูล


ระบบสารสนเทศ

 ระบบสารสนเทศ หมายถึง ระบบที่ดำเนินการจัดการข้อมูลข่าวสารในองค์กรให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ โดยมีหรือไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ แต่ในที่นี้จะหมายถึง ระบบที่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ได้มาเพื่อสารสนเทศเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้องที่สุด 

การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ



การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ หมายถึง การนำข้อมูลที่เก็บไว้อย่างมีระบบ มาทำการวิเคราะห์ สรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมายและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง
1.การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล

1. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นเรื่องของการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งมีจำนวนมาก และต้องเก็บให้ได้อย่างทันเวลา ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยในการจัดเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การอ่านข้อมูลจากบาร์โค้ด

2. การตรวจสอบข้อมูล มีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ข้อมูลที่เก็บเข้าในระบบจะต้องมีความเชื่อถือได้ หากพบที่ผิดพลาดต้องแก้ไข

2. การดำเนินการประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็นสารสนเทศ

1. การจัดแบ่งกลุ่มข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บจะต้องมีการแบ่งแยกกลุ่ม เพื่อเตรียมไว้สำหรับการใช้งาน การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เพื่อความสะดวกในการค้นหา


2. การจัดเรียงข้อมูล เมื่อจัดแบ่งกลุ่มเป็นแฟ้มแล้ว ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลำดับ ตัวเลข หรือตัวอักษร หรือเพื่อให้เรียกใช้งานได้ง่ายประหยัดเวลา


3. การสรุปผล บางครั้งข้อมูลที่จัดเก็บมีจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสร้างรายงานย่อ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ข้อมูลที่สรุปได้นี้อาจสื่อความหมายได้ดีกว่า


4. การคำนวณ ข้อมูลที่เก็บมีเป็นจำนวนมาก ข้อมูลบางส่วน ข้อมูลตัวเลขที่สามารถนำไปคำนวณเพื่อหาผลลัพธ์บางอย่างได้ ดังนั้นการสร้างสารสนเทศจากข้อมูลจึงอาศัยการคำนวณข้อมูลที่เก็บไว้

3. การดูแลรักษาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน

1.การเก็บรักษาข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ในสื่อบันทึกต่างๆ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล นอกจากนี้ยังรวมถึงการดูแล และทำสำเนาข้อมูลเพื่อให้ใช้งานต่อไปในอนาคตได้

2.การค้นหาข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีจุดประสงค์ที่จะเรียกใช้งานได้ต่อไป การค้นหาข้อมูลจะต้องค้นได้ถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว จึงมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการทำงาน ทำให้การเรียกค้นกระทำได้ทันเวลา

3.การทำสำเนาข้อมูล การทำสำเนาเพื่อที่จะนำข้อมูลเก็บรักษาไว้ หรือนำไปแจกจ่ายในภายหลัง จึงควรจัดเก็บข้อมูลให้ง่ายต่อการทำสำเนา หรือนำไปใช้อีกครั้งได้โดยง่าย

4.การสื่อสาร ข้อมูลต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่างไกลได้ง่าย การสื่อสารข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีบทบาทที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้การส่งข่าวสารไปยังผู้ใช้ทำได้รวดเร็วและทันเวลา





สารสนเทศ



สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้


เช่น สารสนเทศที่เป็น ความรู้ที่เกิดจากวิทยุ โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเราซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดาวเทียม โทรศัพท์ เครื่องจักร ที่เกี่ยวกับสารสนเทศได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ เช่น การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียน

1. มีความถูกต้องแม่นยำ (accuracy) สารสนเทศที่ดีจะต้องตรงกับความเป็นจริงและเชื่อถือได้ สารสนเทศบางอย่างมีความสำคัญ หากไม่ตรงกับความเป็นจริงแล้ว อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ สารสนเทศที่ถูกต้องแม่นยำจะต้องเกิดจากการป้อนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมที่ประมวลผลจะต้องถูกต้อง

2. ทันต่อเวลา (timeliness) สารสนเทศที่ดีต้องทันต่อการใช้งาน หมายถึง ข้อมูลที่ป้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องมีความเป็นปัจจุบันทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ปกครองนักเรียน จะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย หากหมายเลขโทรศัพท์ล้าสมัยก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน




3. มีความสมบูรณ์ครอบถ้วน (complete) สารสนเทศที่ดีจะต้องมีความครบถ้วน สารสนเทศที่มีความครบถ้วนเกิดจากการเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน หากเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้เต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลนักเรียน ก็จะต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับนักเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น ชื่อ อายุ ที่อยู่ ชื่อผู้ปกครอง หมายเลขโทรศัพท์ โรคประจำตัว คะแนนที่ได้รับในแต่ละวิชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ครูสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีข้อมูลของหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้เช่นเดียวกัน 4. มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ (relevancy) สารสนเทศจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผุ้ใช้ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลต้องมีการสอบถามการใช้งานของผู้ใช้ว่าต้องการในเรื่องใดบ้าง จึงจะสามารถสรุปสารสนเทศได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากต้องการเก็บข้อมูลของนักเรียนก็ต้องถามครูว่าต้องการเก็บข้อมูลใดบ้าง เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง 5. สามารถพิสูจน์ได้ (verifiable) สารสนเทศที่ดีจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศได้

6.เชื่อถือได้ สารสนเทศที่เชื่อถือได้

7.คุ้มราคา สารสนเทศที่ผลิตควรจะต้องตรวจสอบคามถูกต้อง


8.ตรวจสอบได้ สารสนเทศจะต้องตรวจสอบความถูกต้อง


9.สะดวกในการเข้าถึง สารสนเทศจะต้อง่ายและสะดวกต่อการเข้าถึง


10.ปลอดภัย สารสนเทศจะถูกออกแบบให้มีคามปลอดภัย


ข้อมูล



ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งที่สนใจ ไม่ว่าจะเป้นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ วึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจอยู่ในรูปเเบบต่าง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจอยู่ในรูปเเบบต่างๆ เช่น ตัวเลข ข้อความ ภาพ เสียง เเละดิทัศน์ ดังนั้น การเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริง


คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี


1. ความถูกต้องเเม่นยำ หากมีการรวบรวมข้อมูลเเล้วข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ จะทำให้เกิดผลเสัยอย่างมาก ซึ่งสาเหตุมาจากคน หรือ เครื่องจักร การออกเเบบระบบจึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้


2. มีความเป็นปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจำเป็นต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ มีการตอบสนองต่อผู้ใช่ได้รวดเร็ว ตีความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์

3.ความสมบูรณ์ครบถ้วน ความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการรวบรวมข้อมูลและวิธีการทางปฏิบัติด้วย

4.คามกระทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากจะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึงจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กระทัดรัด

5.ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น จึงต้องมีการสำรวจเพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์กร ดูสภาพการใช้ข้อมูล ความลึกหรือความกว้างของขอบเขตของข้อมูลที่สอดคล้องกับคามต้องการ


ประเภทของข้อมูล

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ข้อมูลคือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเราแบ่งประเภทของข้อมูลได้2ประเภทได้แก่


1การแบ่งข้อมูลตามกำเนิด แบ่งได้2ประเภทคือ


1.ข้อมูลปฐมภูมิ หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมหรือบันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรงึ่งอาจจะได้จากการสอบถาม การสัมภาษณ์การ สำรวจ การจดบันทึกตลดจนการจัดหามาด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติต่างๆ ข้อมูลปฐมภูมิจึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ได้มาจากจุดกำเนิดของข้อมูลนั้นๆ


2.ข้อมูลทุติยภูมิ หมายถึง ข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้ให้แล้วบางครั้งอาจจะมีการประมลผล เพื่อเป็นสารสนเทศ


2.การแบ่งข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล สามารถแบ่งออกได้2ปรเภทคือ

1.ข้อมูลเชิงปริมาณ หมายถึง ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณึ่งัดออกมาเป็นค่าตัเลขที่สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบขนาดโดยตรง เช่น คามสูงของนักเรียน

2.ข้อมูลเชิงคุณภาพ หมายถึง ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขได้โดยตรง แต่วัดออกมาในเชิงคุณภาพได้ เช่น เพศ คามชอบ คามคิดเห็นเป็นต้น





ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ



การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณ50ก่าปีที่แล้ว นับเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศในช่งแรกมีการนำเอาคอมพิเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนณต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูลเมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้งานจึงใช้กันอย่างแพร่หลาย

1.การสร้างเสริมคุณฤภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยคามสะดวกภายในบ้านเช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นต้น

2.เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาศ

เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่งแม้แต่ทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาศการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกลนอกจากนี้ ในปัจุบันมียังความพยายามที่จะใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร

3.สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน

การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ เช่น วิทยุ เครื่องฉายภาพ จัดตารางสอน ทำรายงาน เพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้าเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น


4.เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแดล้อม


การจัดการทรัพพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูลมีการใช้ภาพดาวเทียมการติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ ตลอลจนการใช้ระบบการตรวจัดระยะไกลมาช่วย ที่เรียก่า โทรมาตร


5.เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ


กิจการทางด้านทหารมีการใช้เทคโนโลยีอาวุธยุทโธการณ์สมัยใหม่ล้นแต่เกี่ยข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบคมคุมมีการใช้ระบบป้องกันภัยระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ทำงาน


6.การผลิตในอตสหกรรมและการพาณิชยกรรม


การแขงขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสหกรรมจำเป็นต้องหาิธีการในการผลิตให้ได้มากและให้ราคาถูกลง



ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ



พื้นฐานของเทคโนโลยีย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีการเป็นอยู่ของสังคมสมัยใหม่อยู่มากลักษณะเด่นที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้

1.เทคโนโลยีสารสนเทศช่ยเพิ่มผลผลิตลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิตลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธภาพในการทำงานคอมพิเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติเราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได่ตลอดเวลา

2.เทคโนโลยี่สารสนเทสเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย

เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูลและการใช้ข้อมูลได้ดีการบริการต่างๆจึงเน้นรูปแบบการแบบกระจายผู้ใช้สามารถสั้งซื้อสินค้าจากที่บ้านได้

3.เทคโนโลยีสารสนเทคเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ

ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในองค์การ ประเทศไทยมีระบบ ทะเบียนารษฎรที่จัดทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี

ในองค์การทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้

4.เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ

พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ชีวิตความอยู่ของคนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังจะเห็นได้จากการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้ตารางคำนวณเป็นต้น


วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ





เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเข้ามามบีบทบาทต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก สังเกตได้จากการนำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาใช้ในสำนักงาน การใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดกที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เเสดงว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเเละคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณเเละเก็บข้อมูลได้เเพร่ไปทั่วทุกเเห่ง เมื่อราว พ.ศ.2500 เทคโนโลยีสารสนเทศยังไม่เเพร่หลายย จะมีเพียงการใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสารเเละเริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยประมวลผลข้อมูล เมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ช่วยจงานสารสนเทศมากขึ้น ในอนาคตเทคโลโลยีเเบบสื่อสารประสมจะช่วยเสริมเเละสนับสนุนงานด้านสารสนเทศก้าวหน้าต่อไป การพัฒนาทางด้านเทคโนโ,ยีสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งด้านฮาร์ดเเวร์ เเละซอฟเเวร์


การดำเนินชิวิตในปัจจุบันนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น


เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศที่สุด คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ซึ่งมีวิวัฒนาการการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนี้


ยุคที่ 1 การประมลผลข้อมูล ( Data Processing Era )


ยุคที่ 2 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( Management Information System )


ยุคที่ 3 การจัดทรัพยากรสารสนเทศ ( Information Resource Management )


ยุคที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information logy Era )

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ



เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฏเกณฑ์ของสิ่งต่างๆและหาทางมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นคำที่มีความหมายกว้างเป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอมา สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลท่ี่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียยนรู้สิ่งต่างๆเป็นจำนวนมาก เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่กฏเกณฑ์และวิชาการ ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองเก็บข้อมูลอะไรบ้าง ก็คงตอบไม่ได้ แต่สามารถเรียกเอาข้อมูลมาใช้ได้ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองเป็นสิ่งที่สะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่ในการเรียกใช้ข้อมูลนั้น ข้อมูลเหล่ายนี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสื่อพิมพ์ เป็นต้น ดังนั้น เทคโยโลยีสารสนเทศหรตือไอทีจึงหมายถึงเทคโนโเลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตัง้แต่การรวบรวมกาารจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพื กาารสร้างรายงานเป็นต้น

ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที (information technology :IT )จึงหมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งเเต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูลการประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อข้อมูล เป็นต้น เทคโนโลยีสารสนเทศจะรมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบให้บริการ การใช้ เเละดารดูเเลข้อมูลหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายถึง เครื่องมือหรือวิธีกาที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวม ประมวลผล

การนำข้อมูลเข้าหรือการเก็บรวบรวมข้อมมูล เป็นขั้นตอนเเรกของระบบสารสนเทศ เมื่อมีข้อมูลเเล้วจึงนำไปประมวลผลเพื่อนำไปใช้งานต่างๆ ในปัจจุบันนี้ข้อมูลมรการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน โดยเเยกประวัติส่วนตัว น้ำหนักส่วนสูง ผลการเรียน ความประพฤติ ลายนิ้วมือ เป็นต้น ดังนั้นในการจัชดเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จะต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลควบคู่ไปด้วยกัน

การประมวลผลข้อมูล ขั้นตอนนี้เทคโนโลยีทีส่วนช่วยให้การประมลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้องเเม่นยำ การนับจำนวนคือส่วนหนึ่งของการประมวลผลข้อมูล เเต่การประมวลผลมิใช่เเค่การบวก ลบ คูณ หาร เท่านั้น การเปรียบเทียบ การจำเเนก การจัดเรียง ก้ถือเป็นการประมวลผลเช่นกัน ถ้าข้อมูลมีปริมาณมาก ๆ การทำงานของมนุษย์ในการประมวลผลรวดเร็วขึ้นได้โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เเต่ทั้งนี้ต้องมีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลให้อยู่ในรูปเเบบที่คอมพิวเตอร์ใช้งานด้วยย

การเเสดงผลข้อมูลสารสนเทศ เมื่อข้อมูลถูกประมวลผลจนได้สารสนเทสที่ต้องการเเล้ว เช่น ข้อมูลผลการเรียนของนักเรียน ข้อมูลความประพฤติของนักเรียน ก็จะมีการนำสารสนเทศเหล่านี้ออกมาเเสดงให้เห็นโดยผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ต้องการ ทั้งนี้การพัฒนาการทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นด้านฮาร์ดเเวร์หรือซอฟเเวร์ ก้าวหน้าไปมาก จึงช่วยให้การจัดกับสารสนเทศที่มีอยู่อย่างมากให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำเเนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น ๖ รูปเเบบ ดังต่อไปนี้


๑. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาเทียมถ่ายภาพทางอากาศ กล้องดิจิทัล กล้องวิดีทัศน์ เครื่องเอกซเรย์ เป็นต้น

๒. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปเเม่เหล็กจากเเม่เหล็ก จานเเสงหรือจานเลเซอร์ ชิปการ์ด

๓. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้เเก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดเเวร์ เเละซอฟเเวร์

๔. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเเสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์ จอภาพ พล็อตเตอร์

๕. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องกราดตรวจ

๖. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้เเก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรเลข เทเลกซ์ เเละระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้ชิดเเละไกล.





วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศ

  

การคำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจุบันนี้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลาซึ่งมีหลายยี่ห้อให้ เลือกใช้การเดินทางไปทำงานต้องอาศัย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น

ในอดีตมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในป่าในถำ้ การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตมีการพัฒนาเครื่องมือในการล่าสัตว์ ต่อมามนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษาจนเมื่อประมาณ๕,000ปีที่แล้วมนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือและจารึกไว้ตามผนังถ้ำ เมื่อเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยในการพิมพ์ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เมื่อพัฒนาการด้านเทคโนโลยีก้าวไปไกลขึ้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆจึงมีขนาดเล็กลงมีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น รวมทั้งราคาก็เริ่มถูกลง เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์มากขึ้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกวงการ เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานทุกด้าน นับตั้งแต่งานทางการศึกษา พาณิชยกรรม เกาตรกรรม อุตสาหกรรม สาธารณสุขเป็นต้น

ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมาก